ในปัจจุบันการคุมกำเนิดนั้นมีหลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการคุมกำเนิดโดยการทาน ฉีด ใส่ห่วง และฝัง โดยเฉพาะการกินยาคุมซึ่งเป็นวิธีที่หลายคนค่อนข้างที่จะรู้จักดี แต่ยังมีการคุมกำเนิดอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งก็คือ “การฉีดยาคุม” ที่เป็นการคุมกำเนิดอีกวิธีที่ได้รับความนิยมเช่นกัน

“การฉีดยาคุมกำเนิด” เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ราคาไม่แพง มีความปลอดภัย เพียงแต่ต้องฉีดโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์

การฉีดยาคุมนั้นคล้ายกับการฉีดวัคซีน โดยการฉีดยาเข้าใต้กล้ามเนื้อบริเวณต้นแขน หรือสะโพก หลังจากการฉีดยาอาจจะมีอาการปวดๆตึงๆ ในวันแรกของการฉีด ไม่ควรไปบีบนวดคลึงบริเวณที่ปวดเพราะจะทำให้ตัวยาดูดซึมเข้ากระแสเลือดรวดเร็วเกินไป

การออกฤทธิ์คุมกำเนิดสามารถออกฤทธิ์ได้ในระยะ 1 เดือน หรือ 3 เดือน วิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวกมาก สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับประทานยาทุกวันเพียงแค่ฉีดยา 1 เข็ม ก็สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 1-3 เดือน โดยขึ้นกับชนิดของยา

      การฉีดยาคุมนั้นนอกจากจะช่วยในเรื่องของการลดโอกาสการตั้งครรภ์แล้ว พบว่ามีส่วนช่วยในเรื่องอื่นๆ ได้อีก เช่น ความเสี่ยงมะเร็งที่ผนังมดลูกลดลง ลดโอกาสการเกิดซีสต์ที่รังไข่ และการตั้งครรภ์นอกมดลูก

การฉีดยาคุมนั้นมี 2 แบบ คือ แบบฉีดครั้งเดียวคุมกำเนิด 1 เดือน กับแบบฉีดครั้งเดียวคุมกำเนิดได้ 3 เดือน

การฉีดยาคุมแบบฉีดครั้งเดียวคุมกำเนิด 1 เดือน

ยาคุมชนิดนี้เป็นยาคุมฮอร์โมนรวม ระหว่าง “เอสโตรเจน” กับ “โปรเจสติน” หลักการทำงานของการฉีดยาคุมแบบ 1 เดือนนี้ จะคล้ายกับการรับประทานยาคุมชนิดเม็ด คือ ตัวยาจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ยังมีประจำเดือนมาเป็นปกติ สามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติเมื่อหยุดใช้ยา

การฉีดยาคุมแบบฉีดครั้งเดียวคุมกำเนิดได้ 1 เดือนเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบทานยาหรือมักลืมทานยา แต่ไม่เหมาะสำหรับมารดาให้นมบุตรเพราะยังมีผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ การฉีดยาคุมจะฉีดเดือนละครั้งเป็นประจำทุกเดือน ผลของการคุมกำเนิดจะมีประสิทธิภาพสูงหากฉีดตามกำหนดทุกครั้ง โดยสามารถฉีดก่อนกำหนดนัดฉีดครั้งต่อไปได้ล่วงหน้าไม่เกิน 7 วันหรือหลังกำหนดไม่เกิน 7 วัน

การฉีดยาคุมแบบฉีดครั้งเดียวคุมกำเนิด 3 เดือน

      การฉีดยาคุมแบบคุมกำเนิดนาน 3 เดือน เป็นการฉีดยาฮอร์โมนเดี่ยว “โปรเจสติน” เพียงตัวเดียว คล้ายกับยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งเป็นวิธีที่คนมักจะเลือกฉีดยาคุมชนิดนี้ เพื่อประหยัดเวลาในการเดินทางไปพบแพทย์บ่อยๆ เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการคุมกำเนิดระยะสั้น โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนได้  อีกทั้งยังไม่ส่งผลกระทบต่อน้ำนมจึงเหมาะกับสตรีให้นมบุตร ทั้งนี้การฉีดยาคุมกำเนิดมีกลไกในการคุมกำเนิดนานถึง 3 เดือน หรือ 12 สัปดาห์ ทั้งนี้ยาจะยังคงมีฤทธิ์เพียงพอต่อไปได้อีกประมาณ 14-15 สัปดาห์ อย่างไรก็ดี การนัดหมายมาฉีดยาครั้งถัดไปไม่ควรฉีดล่าช้าเกิน 2 สัปดาห์

การฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนนั้นไม่เหมาะกับผู้ที่ยังไม่เคยมีบุตรหรือวางแผนจะมีบุตรในอนาคตอันใกล้ เพราะตัวยาจะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกฝ่อลง ส่งผลให้หลังจากการหยุดฉีดยาคุม ต้องใช้เวลารอนานประมาณ 6-10 เดือน จึงจะกลับมาตั้งครรภ์ได้ตามปกติ

สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปไม่แนะนำให้ฉีดยาคุมแบบ 3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น

ผู้ที่ไม่ควรฉีดยาคุม

1.  ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์

2.  ที่มีภาวะเลือดออกจากช่องคลอดโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ

3.  ผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

4.  ผู้ที่เป็นโรคตับอย่างรุนแรง

5.  ผู้ที่เป็นโรคเกียวกับหลอดเลือด ลิ่มเลือดอุดตัน

      การฉีดยาคุมให้มีประสิทธิภาพ

1.  ควรฉีดยาคุมกำเนิดใน 1-5 วันแรกของการมีประจำเดือน

2.  เลือกฉีดวันไหนก็ได้ตามที่สะดวก แต่ควรสวมถุงยางอนามัยควบคู่ในระยะ 7 วันหลังการฉีดยาคุมกำเนิด

3.  ควรฉีดยาคุมกำเนิดภายใน 5 วันหลังการแท้งบุตร

4.  ควรฉีดยาคุมกำเนิดหลังจากการคลอดบุตร 6 เดือน โดยที่ยาคุมจะไม่รบกวนปริมาณและคุณภาพของน้ำนม5.  ควรฉีดตามกำหนดที่แพทย์นัด หรือในการฉีดยาคุมกำเนิดครั้งถัดไปของการคุมกำเนิดแบบ 1 เดือน ควรไปฉีดก่อนเวลานัดหมายไม่มากกว่า 7 วันและล่าช้าได้ไม่เกิน 7 วัน และการฉีดยาคุมแบบ 3 เดือนไม่ควรล่ากว่ากำหนดนัดหมายเกิน 14 วัน

ผลข้างเคียงของการฉีดยาคุมกำเนิด

ผลข้างเคียงของการฉีดยาคุมนั้นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน อาจจะเกิดกับบางคน หรืออาจพบเพียงบางอาการเท่านั้น ได้แก่

1.  เลือดออกกะปริบกะปรอย

2.  สิว ฝ้า จากฮอร์โมนคุมกำเนิด

3.  น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น ในบางรายอาจจะน้ำหนักลดลง

4.  ช่องคลอดแห้ง

5.  มีอาการปวดเมื่อย วิงเวียนศีรษะ คัดตึงเต้านม

6.  ปวดกระดูก จะหายไปเมื่อหยุดฉีดยาคุม

หากมีอาการข้างเคียงจนกระทบต่อการใ้ช้ชีวิตประจำวันควรพบแพทย์เพื่อเปลี่ยนวิธีการคุมกำเนิด

ข้อดีของการฉีดยาคุม

1.  ไม่ต้องทานยาทุกวัน

2.  ราคาไม่แพง

3.  สามารถคุมกำเนิดได้ในระยะ 1-3 เดือน

4.  ช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือนมาผิดปกติ หรืออาจจะไม่มีประจำเดือนภายหลังการฉีด

ข้อเสียของการฉีดยาคุม

1.  ต้องเดินทางไปฉีดตามกำหนดทุกๆ 1 หรือ 3 เดือน

2.  อาจจะมีประจำเดือนกะปริบกะปรอย มาไม่สม่ำเสมอ หรือไม่มีประจำเดือนหลังการฉีด

3.  หลังจากหยุดฉีดยาคุม ร่างกายจะไม่สามารถมีลูกได้ทันที อาจจะต้องใช้เวลาไปอีกระยะ บางคนอาจจะต้องรอเกือบ 1 ปีจนกว่าจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีกครั้ง

4.  ฮอร์โมนแปรปรวน อารมณ์ทางเพศลดลง เกิดฝ้า เป็นสิว น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น คัดตึงเต้านม ช่องคลอดแห้ง รู้สึกเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ เกิดภาวะกระดูกพรุน แต่จะค่อยๆ กลับมาเป็นปกติเมื่อหยุดยา5.  ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

ฉีดยาคุมไปนานๆทำให้มีลูกยากจริงไหม

ภายหลังจากหยุดฉีดยาคุมแบบ 1 เดือน ร่างกายจะสามารถเข้าสู่ภาวะวัยเจริญพันธ์ุได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีประจำเดือนครั้งถัดไปได้ทันทีหลังหยุดฉีดยาคุม ดังนั้นจึงสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ

ส่วนการฉีดยาคุมกำเนิดแบบ 3 เดือน หลังจากหยุดฉีดยา ร่างกายจะใ้ช้เวลาประมาณ 6-10 เดือนเพื่อปรับระดับฮอร์โมนให้กลับมาตกไข่ตามปกติอีกครั้ง โดยจะสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติหลังจากประจำเดือนมา

ฉีดยาคุมแล้วประจำเดือนไม่มา

ประจำเดือนเกิดจากการหลุดลอกของผนังมดลูก โดยปกติ ผนังมดลูกจะค่อยๆหนาตัวเพื่อรองรับการปฏิสนธิของตัวอ่อน แต่หากไม่มีตัวอ่อนมาฝังตัว จึงหลุดออกมาเป็นประจำเดือน

ในระหว่างที่มีการฉีดยาคุมแบบ 3 เดือน ร่างกายจะได้รับฮอร์โมนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่ได้หนาตัวขึ้นตามปกติ ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งในการป้องกันการตั้งครรภ์ของการฉีดยาคุมแบบ 3 เดือน โดยการทำให้ผนังมดลูกบางตัวลงและฝ่อตัว ส่งผลให้ไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน แต่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ