สำหรับผู้หญิงทุกคน ประจำเดือนเป็นกระจกสะท้อนสุขภาพภายในที่สำคัญอย่างยิ่ง รอบเดือนที่ปกติไม่เพียงแต่แสดงถึงการทำงานของฮอร์โมนและระบบสืบพันธุ์ที่สมดุล แต่ยังช่วยให้คุณทราบถึงสถานะสุขภาพโดยรวม อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมาช้าหรือเร็วกว่าปกติ มามากเกินไป หรือขาดไปโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน สิ่งเหล่านี้อาจเป็น “สัญญาณเตือน” ที่คุณไม่ควรมองข้าม ดังนั้นเราจึงอยากจะชวนผู้อ่านมาเรียนรู้เพิ่มเติมให้เข้าใจถึงความสำคัญของการสังเกตประจำเดือนและจัดการปัญหาอย่างเหมาะสมกัน
ประจำเดือนปกติเป็นอย่างไร
ประจำเดือนปกติ คือการมีรอบเดือนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนถึงการทำงานที่สมดุลของระบบสืบพันธุ์และฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิง โดยรอบเดือนจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่มีการตั้งครรภ์ และเยื่อบุโพรงมดลูกที่ไม่ได้ใช้งานจะถูกขับออกมาทางช่องคลอดในรูปของเลือด หรือที่มักเรียกกันว่า “เมนส์” นั่นเอง กระบวนการนี้เป็นสัญญาณสำคัญของสุขภาพระบบสืบพันธุ์ ที่เริ่มต้นเมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ซึ่งมักอยู่ในช่วงอายุประมาณ 10-16 ปี และจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจนถึงช่วงวัยหมดประจำเดือน กระบวนการนี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับสุขภาพร่างกาย แต่ยังเชื่อมโยงถึงสมดุลของฮอร์โมนที่ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมและอารมณ์ของผู้หญิงในแต่ละเดือนอีกด้วย
ลักษณะของประจำเดือนที่ปกติ
- ความถี่ของรอบเดือน
รอบเดือนปกติจะอยู่ในช่วง 21-35 วัน นับตั้งแต่วันแรกของประจำเดือนในเดือนปัจจุบันถึงวันแรกของรอบถัดไป - ระยะเวลาของประจำเดือน
ประจำเดือนปกติจะมีระยะเวลาประมาณ 3-7 วัน โดยปริมาณเลือดจะมากที่สุดในช่วง 1-2 วันแรก และค่อยๆ ลดลงในวันถัดไป - ปริมาณเลือดที่เสียไป
โดยปกติผู้หญิงจะเสียเลือดประมาณ 30-80 มิลลิลิตร ในแต่ละรอบเดือน หากต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 2-4 ชั่วโมงถือว่าเป็นปริมาณที่ปกติ - ลักษณะของเลือดประจำเดือน
เลือดจะมีสีแดงสดในช่วงแรก และอาจเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มหรือสีน้ำตาลในช่วงท้ายของรอบเดือน โดยที่ลิ่มเลือดจะไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก - อาการร่วมปกติ
ผู้หญิงอาจมีอาการปวดท้องเล็กน้อย หรือรู้สึกไม่สบายตัวก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ไม่รุนแรง
สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าประจำเดือนผิดปกติ
การเปลี่ยนแปลงของรอบเดือนที่ไม่ปกติเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ต้องการการดูแลและรักษา การใส่ใจต่อสัญญาณเตือนเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันผลกระทบที่รุนแรงได้
1. เลือดประจำเดือนมามากผิดปกติ (Menorrhagia)
อาการเลือดออกในปริมาณที่มากผิดปกติ อาจต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกชั่วโมง หรือพบลิ่มเลือดขนาดใหญ่ในระหว่างรอบเดือน
อาการ:
- คุณสังเกตว่าประจำเดือนมามากจนรู้สึกอ่อนเพลียจากการเสียเลือด
- ต้องใช้ผ้าอนามัย 2 ชั้นหรือเปลี่ยนทุก 1-2 ชั่วโมงตลอดวัน
- มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่กว่าเหรียญบาทหลายครั้งในวันเดียว
ผลกระทบ:
- อาจนำไปสู่ภาวะโลหิตจาง ทำให้คุณรู้สึกอ่อนแรง เหนื่อยง่าย หรือเวียนศีรษะ
- หากปล่อยไว้อาจเกิดปัญหาเรื้อรังในระยะยาว
2. ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ (Irregular Periods)
ลักษณะ: รอบเดือนมาไม่ตรงเวลา หรือไม่สามารถคาดการณ์วันเริ่มและสิ้นสุดได้ เช่น รอบเดือนที่ปกติมาในทุก 28 วัน อาจเลื่อนไปเป็น 40 วันในเดือนถัดไป หรือมาถี่ขึ้นเป็น 20 วัน
อาการ:
- รอบเดือนเคยมาสม่ำเสมอทุกเดือน แต่จู่ ๆ รอบเริ่มขาดไป 2-3 เดือนก่อนจะกลับมาอีกครั้ง
- รอบเดือนมาเร็วขึ้นทุกเดือน เช่น เดือนแรกมาทุก 28 วัน แต่เดือนถัดไปลดเหลือ 24 วัน
ผลกระทบ:
- อาจบ่งบอกถึงภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น ภาวะถุงน้ำในรังไข่ (PCOS)
- หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ในอนาคต
3. ปวดประจำเดือนรุนแรง (Severe Dysmenorrhea)
ลักษณะ: อาการปวดท้องประจำเดือนที่รุนแรงจนไม่สามารถทำงานหรือทำกิจกรรมตามปกติได้ อาจปวดจนต้องรับประทานยาแก้ปวดปริมาณมากทุกครั้งที่มีรอบเดือน
อาการ:
- ปวดจนไม่สามารถลุกจากเตียงได้ หรือปวดจนมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
- ต้องหยุดเรียนหรือหยุดงานทุกครั้งที่มีรอบเดือน
- การใช้ยาแก้ปวดทั่วไปไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น
ผลกระทบ:
- อาจบ่งบอกถึงโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) หรือเนื้องอกในมดลูก
- หากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดภาวะเจ็บปวดเรื้อรังในอุ้งเชิงกราน
ปัจจัยหลักที่อาจทำให้เกิดความผิดปกติของประจำเดือน
เมื่อประจำเดือนมีความผิดปกติ สิ่งสำคัญคือต้องค้นหาสาเหตุที่เป็นไปได้เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างเหมาะสม เพราะความผิดปกติของประจำเดือนอาจเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ ทั้งจากภายในร่างกายและปัจจัยภายนอก ดังนี้:
1. เรื่องของฮอร์โมนไม่สมดุล
ฮอร์โมนเป็นปัจจัยสำคัญที่ควบคุมรอบเดือน หากฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนไม่สมดุล อาจทำให้รอบเดือนของคุณผิดปกติ เช่น รอบเดือนมาไม่ปกติ หรือเลือดออกในปริมาณที่มากเกินไป
ตัวอย่าง:
- วัยรุ่นที่ฮอร์โมนยังไม่คงที่มักพบว่าประจำเดือนมาไม่ตรงเวลา
- ผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน (Perimenopause) อาจมีรอบเดือนที่สั้นลงหรือมามากผิดปกติ
ฮอร์โมนไม่สมดุลนอกจากจะทำให้รอบเดือนผิดปกติแล้ว ยังอาจส่งผลต่ออารมณ์ น้ำหนักตัว และการทำงานของระบบอื่น ๆ ในร่างกาย
2. โรคที่อาจเกี่ยวข้องกับสาเหตุของประจำเดือนที่ผิดปกติ
ความผิดปกติของประจำเดือนอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ เช่น:
- ถุงน้ำในรังไข่ (PCOS)
ภาวะนี้เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน ทำให้มีการตกไข่ไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้รอบเดือนมาไม่ปกติ หรือไม่มีประจำเดือนนานหลายเดือน เช่นคุณมีรอบเดือนที่ขาดหายไปนาน 2-3 เดือน และเมื่อตรวจร่างกายพบว่ามีถุงน้ำในรังไข่หลายถุง - เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
โรคนี้เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ เช่น ในอุ้งเชิงกราน หรืออวัยวะอื่น ๆ นอกมดลูก ทำให้ปวดประจำเดือนรุนแรงและเลือดออกผิดปกติ เช่นคุณมีอาการปวดประจำเดือนจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ และมีเลือดออกมากผิดปกติในบางรอบเดือน
3. ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบ
การใช้ชีวิตประจำวันหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมสามารถส่งผลต่อรอบเดือนของคุณได้ เช่น:
- ความเครียด: ความเครียดเรื้อรังสามารถรบกวนการทำงานของสมองส่วนไฮโปทาลามัส ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับรอบเดือน เช่นคุณพบว่าประจำเดือนมาช้าหลังจากช่วงเวลาที่ต้องเผชิญความเครียดสูง เช่นการเครียดจากที่ทำงานหรือปัญหาส่วนตัว
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ: การอดนอนบ่อยครั้งส่งผลต่อสมดุลฮอร์โมนและรอบเดือน เช่นในกรณีที่คุณทำงานดึกเป็นประจำและพบว่ารอบเดือนเริ่มมาไม่สม่ำเสมอ
- การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล: เช่น การลดน้ำหนักอย่างหักโหมหรือการขาดสารอาหารบางชนิด อาจทำให้รอบเดือนขาดหาย เช่นคุณรับประทานอาหารคลีนแบบเข้มงวดและน้ำหนักลดลงมากจนประจำเดือนขาดหาย
ข้อแนะนำ อาการแบบไหนที่ควรต้องไปพบแพทย์
คุณควรปรึกษาแพทย์ทันทีหากพบว่ามีเลือดประจำเดือนออกมากจนรู้สึกอ่อนเพลียหรือมีอาการหน้ามืด ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการเสียเลือดในปริมาณที่มากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อร่างกาย อีกทั้งหากคุณปวดท้องประจำเดือนรุนแรงจนไม่สามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ เช่น ไม่สามารถลุกจากเตียงหรือไปทำงานตามปกติ อาการนี้อาจเชื่อมโยงกับโรคร้ายแรง เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือภาวะถุงน้ำในรังไข่ นอกจากนี้ หากคุณไม่มีประจำเดือนติดต่อกันนานเกิน 3 เดือนโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน เช่น การตั้งครรภ์ หรือคุณพบลิ่มเลือดขนาดใหญ่ในเลือดประจำเดือน หรือมีเลือดออกผิดปกติในช่วงที่ไม่ใช่รอบเดือน เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม การเข้าพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาในทันทีจะช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้