ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
หากกล่าวถึงการคุมกำเนิด นอกจากการคุมกำเนิดทั่วไปที่ใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ที่อาจจะเกิดได้ภายหลังการมีเพศสัมพันธ์แล้ว “การใช้ยาคุมฉุกเฉิน” ถือเป็นการคุมกำเนิดอีกวิธีหนึ่ง ที่ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ ไม่ยินยอม หรือเกิดความผิดพลาดจากการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น
ในเม็ดยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสตินขนาดสูง โดยที่ยาคุมฉุกเฉินจะเข้าไปรบกวนการปฏิสนธิของไข่กับอสุจิ แต่หากตัวอ่อนได้มีการฝังตัวแล้ว จะไม่สามารถป้องกันได้ เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินมีปริมาณฮอร์โมนสูงจึงไม่ควรใช้ในระยะยาวหรือใช้เป็นประจำเพราะอาจส่งผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อร่างกาย
ทั้งนี้ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินนั้นจะลดลงตามระยะเวลาของการทานยาหลังมีเพศสัมพันธ์ โดยจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อทานทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์ และจะไม่ส่งผลในการป้องกันในกรณีที่ตัวอ่อนได้มีการฝังตัวแล้ว ดังนั้นหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ควรรีบทานยาคุมฉุกเฉินตามคำแนะนำของเภสัชกร
ยาคุมฉุกเฉินมี 2 แบบ แบ่งตามปริมาณตัวยา คือ ยาคุมฉุกเฉินแบบ 1 เม็ด และยาคุมฉุกเฉินแบบ 2 เม็ด
ยาคุมฉุกเฉิน 1 เม็ด เป็นยาคุมฉุกเฉินแบบใหม่ ก็คือ ทาน 1 เม็ดครั้งเดียว หลังมีเพศสัมพันธ์ หรือภายใน 72 ชั่วโมง ดีที่สุดคือควรทานภายใน 24 ชั่วโมง ก่อนที่ตัวอ่อนเข้าไปฝังตัวในผนังมดลูก เพราะการทานยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถช่วยในการยับยั้งการตั้งครรภ์ได้ รีบทานเร็วเท่าไหร่จึงยิ่งดี
ยาคุมฉุกเฉินแบบ 1 เม็ด มีปริมาณฮอร์โมนโปรเจสตินสูงเป็นสองเท่าของยาคุมฉุกเฉินแบบ 2 เม็ด หากมีการอาเจียนหลังจากทานยาใน 2 ชั่วโมง ควรทานยาซ้ำอีกครั้ง ซึ่งผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น อาจพบอาการ คลื่นไส้ อาเจียน อาการดังกล่าวอาจจะพบได้มากกว่าแบบ 2 เม็ด และยังอาจพบอาการอื่นๆ เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมาแบบกะปริบกะปรอยได้
ยาคุมฉุกเฉิน 2 เม็ด ควรทานยาคุมฉุกเฉินเม็ดแรกทันทีภายใน 24 ชั่วโมงหรือไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง และเมื่อครบ 12 ชั่วโมงหลังจากที่ทานเม็ดแรกให้ทานเม็ดที่ 2 หรือทาน 2 เม็ดทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์
ยาคุมฉุกเฉินแบบ 1 เม็ดกับแบบ 2 เม็ดนั้นจะแตกต่างกันที่ขนาดของฮอร์โมนโปรเจสตินในเม็ดยา ประเทศไทยมียาคุมแบบ 1 เม็ดจำหน่ายเพียงไม่กี่ยี่ห้อเท่านั้น
ข้อดีของยาคุมฉุกเฉินแบบ 1 เม็ดคือทานเพียงเม็ดเดียวเท่านั้นไม่ต้องกลัวลืมทานเม็ดที่สอง ทำให้สะดวกมากกว่า
แต่ทั้งนี้ยาคุมฉุกเฉินเป็นเพียงการป้องกันการตั้งครรภ์ในกรณีที่ไม่คาดคิดเท่านั้น ไม่ใช่การป้องกันการตั้งครรภ์แบบระยะยาว รวมถึงไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ และไม่ควรกินยาคุมฉุกเฉินมากกว่า 2 แผง (4 เม็ด) ภายในรอบเดือนเดียว เนื่องจากยาอาจส่งผลให้ระบบสืบพันธุ์สร้างฮอร์โมนผิดปกติและอาจมีความเสี่ยงต่อการท้องนอกมดลูก
หากมีความประสงค์ในป้องกันการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกทานยาคุมชนิดเม็ด การฉีดยาคุม หรือการฝังยาคุมอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า รวมถึงการสวมถุงยางอนามัยที่นอกจากช่วยป้องกันการตั้งครรภ์แล้วยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย
ข้อดีของยาคุมฉุกเฉินแบบ 1 เม็ดคือทานเพียงเม็ดเดียวเท่านั้นไม่ต้องกลัวลืมทานเม็ดที่สอง ทำให้สะดวกมากกว่า
แต่ทั้งนี้ยาคุมฉุกเฉินเป็นเพียงการป้องกันการตั้งครรภ์ในกรณีที่ไม่คาดคิดเท่านั้น ไม่ใช่การป้องกันการตั้งครรภ์แบบระยะยาว รวมถึงไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ และไม่ควรกินยาคุมฉุกเฉินมากกว่า 2 แผง (4 เม็ด) ภายในรอบเดือนเดียว เนื่องจากยาอาจส่งผลให้ระบบสืบพันธุ์สร้างฮอร์โมนผิดปกติและอาจมีความเสี่ยงต่อการท้องนอกมดลูก
หากมีความประสงค์ในป้องกันการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกทานยาคุมชนิดเม็ด การฉีดยาคุม หรือการฝังยาคุมอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า รวมถึงการสวมถุงยางอนามัยที่นอกจากช่วยป้องกันการตั้งครรภ์แล้วยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย
อาการไม่พึงประสงค์ของยาคุมฉุกเฉิน
1. คลื่นไส้อาเจียน หากอาเจียนหลังทานยาคุมฉุกเฉินใน 2 ชั่วโมงต้องทานยาซ้ำอีกครั้ง
2. มีเลือดออกกะปริบกะปรอย
3. ปวดหัว ปวดท้อง แน่นหน้าอก
4. ประจำเดือนมาผิดปกติ แต่หากประจำเดือนมาช้ากว่าปกติเกิน 7 วัน ควรตรวจการตั้งครรภ์
5. ก่อนใช้ยาควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง และเมื่อพบอาการผิดปกติหรือมีผลข้างเคียงรุนแรง หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์ควรพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาหรือรับการรักษาที่เหมาะสม
“ข้อดีของยาคุมฉุกเฉิน” ยาคุมฉุกเฉินนั้นยิ่งรับประทานยาเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ยาคุมฉุกเฉินนั้นหาซื้อง่ายช่วยในการป้องกันหรือลดการตั้งครรภ์ที่เกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ทันท่วงที เช่น การถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์ หรือถุงยางอนามัยแตก ขาด หรือรั่ว
“ข้อควรระวังของยาคุมฉุกเฉิน” ก่อนรับประทานยาคุมฉุกเฉิน ควรตรวจสอบวันหมดอายุ สภาพกล่องหรือเม็ดยาก่อนรับประทาน รวมถึงควรระวังการแพ้ในส่วนประกอบของยาคุมฉุกเฉิน หรือผู้ที่ตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์ หรือมีประวัติเลือดออกทางช่องคลอด หากพบความผิดปกติควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาหรือการรักษาตามความเหมาะสม