อาการปวดประจำเดือน (Menstrual Pain หรือ Dysmenorrhea) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้หญิงที่มีรอบเดือน โดยมีอาการ ปวดบริเวณท้องน้อย ซึ่งอาจเกิดขึ้นทั้งก่อน หรือระหว่างรอบเดือน อาการนี้มักทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่สบายตัวและมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยปกติแล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดจะคงอยู่ประมาณ 2-3 วัน โดยผู้ที่มีอาการ จะรู้สึกปวดแบบตุบ ๆ หรือปวดบีบที่ท้องน้อยด้านล่าง หรือบริเวณหัวหน่าว อาการปวดนี้อาจลามไปถึงบริเวณหลังส่วนล่างหรือต้นขาได้อีกด้วย
นอกจากอาการปวดหลักแล้ว บางคนอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ หรืออาการอ่อนเพลีย ซึ่งอาจทำให้รู้สึกหมดแรงและไม่มีสมาธิในการทำงาน อาการเหล่านี้อาจรุนแรงหรือไม่รุนแรงขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล สำหรับบางคน อาการปวดประจำเดือนอาจเป็นเพียงความไม่สบายเล็กน้อย แต่ในบางราย อาการปวดอาจรุนแรงจนทำให้ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
การดูแลตัวเองมีประจำเดือนเป็นช่วงที่ค่อนข้างใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ หากรู้วิธีการดูแลที่ถูกต้อง และถูกวิธีจะช่วยลดอาการไม่สบายตัวรวมถึงอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงมีประจำเดือนได้
ประเภทของการปวดประจำเดือน
1. ปวดประจำเดือนปฐมภูมิ (Primary dysmenorrhea) ปวดประจำเดือนที่ไม่มีโรคหรือพยาธิสภาพใด ๆ เกิดจากสาร Prostaglandin เป็นสารเคมีที่หลั่งออกมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกระหว่างการมีประจำเดือน ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัวมีอาการปวดท้องน้อย และลดปริมาณเลือดมาเลี้ยงมดลูก โดยสารดังกล่าวอาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ หรือถ่ายเหลวในบางราย
2. ปวดประจำเดือนทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrhea) อาการปวดประจำเดือนที่มีพยาธิสภาพ หรือโรคอื่นอันเป็นสาเหตุของการปวด โดยมักมีอาการปวดที่รุนแรง หรือเรื้อรังมากกว่าปวดประจำเดือนปฐมภูมิ
อาการปวดรุนแรงมากขึ้น มีผลต่อการทำงานปวดมากจนในบางรายจำเป็นต้องได้รับยาฉีดแก้ปวด และประจำเดือนมามาก หรือมาผิดปกติ
อาการปวดประจำเดือนที่ควรระวัง
- ปวดมากจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ ปวดรุนแรงมาก ถึงขั้นที่ไม่สามารถไปเรียน ทำงาน หรือทำกิจกรรมประจำวันได้ หากรับประทานยาแล้วไม่หาย ควรปรึกษาแพทย์
- ปวดประเดือนนานกว่าปกติ โดยส่วนมากแล้วจะปวดแค่ช่วง 1 – 2 วันแรก หากปวดมากกว่านี้หลายวันอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพร่วมด้วย
- มีอาการปวดร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุนแรง หรือท้องอืดบวมผิดปกติ และในบางคนพบมีอาการท้องเสีย
- มีเลือดออกมากผิดปกติจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ 1-2 ชั่วโมง หรือมีเลือดออกระหว่างรอบเดือน
- อาการปวดรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกเดือนไม่มีท่าทีจะดีขึ้น ควรตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุ
สาเหตุที่อาจทำให้ปวดประจำเดือนรุนแรง
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญนอกมดลูก ทำให้เกิดการอักเสบ และปวดอย่างรุนแรง
- เนื้องอกมดลูก (Fibroids) การมีก้อนเนื้องอกในมดลูก อาจทำให้มีอาการปวดมากขึ้น และมีเลือดออกมากผิดปกติ
- ภาวะถุงน้ำรังไข่ (Ovarian Cysts) ถุงน้ำในรังไข่สามารถทำให้เกิดอาการปวดที่ท้องน้อย หรือหลัง
- โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease, PID) การติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์อาจทำให้ปวดประจำเดือน และมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ตกขาวมีกลิ่นผิดปกติ
การรับประทานยาบรรเทาอาการปวดประจำเดือนสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ โดยยาที่นิยมใช้และหาซื้อได้ตามท้องตลาดร้านยาเภสัชคือกลุ่มยา แก้ปวดทั่วไป, ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs),และยาแก้ปวดกล้ามเนื้อ (Antispasmodics) นั่นเอง ยาแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับอาการที่ปวด ควรซื้อที่ร้านยาโดยตรงเพื่อให้เภสัชกรแนะนำ
ความเชื่อของคนไทยในเกี่ยวกับช่วงมีประจำเดือน
ความเชื่อของคนไทยในช่วงมีประจำเดือนเป็นเรื่องที่สืบทอดกันมานาน และหลายคนอาจเคยได้ยินคำเตือนเกี่ยวกับข้อห้ามต่าง ๆ เช่น ห้ามอาบน้ำหรือสระผม, ห้ามดื่มน้ำมะพร้าว หรือห้ามดื่มน้ำเย็น เพราะเชื่อว่าจะทำให้เลือดแข็งตัวและเพิ่มความเจ็บปวดจากอาการปวดประจำเดือน แต่ความเชื่อเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ถูกต้องตามหลักการแพทย์และไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ
ความจริงแล้ว การอาบน้ำและสระผมในช่วงมีประจำเดือนสามารถทำได้ตามปกติ ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพแต่อย่างใด การรักษาความสะอาดร่างกายยังเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่นและลดความไม่สบายตัวที่เกิดจากประจำเดือนได้
ส่วนการดื่มน้ำเย็นหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ ก็ไม่มีผลกระทบต่อกระบวนการไหลเวียนของเลือดในช่วงมีประจำเดือนตามที่มีความเชื่อ นอกจากนี้ น้ำมะพร้าวยังถือเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพในช่วงนี้ เนื่องจากมีสารอาหารที่สำคัญ เช่น เกลือแร่และอิเล็กโทรไลต์ ที่ช่วยรักษาสมดุลของร่างกายและทำให้รู้สึกสดชื่น การดื่มน้ำมะพร้าวยังสามารถช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำที่เกิดจากการมีประจำเดือนได้อีกด้วย
การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องในช่วงมีประจำเดือนจึงไม่จำเป็นต้องยึดติดกับความเชื่อที่ไม่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ การดูแลสุขภาพที่เหมาะสม เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และรักษาความสะอาดร่างกาย จะช่วยให้ผู้หญิงรู้สึกสบายและมีสุขภาพดีในทุกช่วงของรอบเดือน
การดูแลสุขภาพในช่วงมีประจำเดือน
อาการปวดประจำเดือน (Dysmenorrhea) แม้จะไม่เป็นอันตราย แต่สามารถทำให้รู้สึกไม่สบายและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ สิ่งสำคัญคือการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมเพื่อลดความไม่สบายและบรรเทาอาการปวดที่อาจเกิดขึ้น การปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขลักษณะต่อไปนี้สามารถช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นในช่วงมีประจำเดือน
- ใช้ถุงน้ำร้อนประคบ
การประคบร้อนที่บริเวณท้องน้อยช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดการหดตัวของมดลูก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการปวด การใช้ถุงน้ำร้อนอาจช่วยบรรเทาอาการได้ดีเทียบเท่ากับการใช้ยาแก้ปวดบางชนิด อีกทั้งยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายตัวขึ้น - ทานยาแก้ปวด
หากอาการปวดรุนแรง ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน หรือพาราเซตามอล มักถูกใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด ควรทานยาตามปริมาณที่ระบุไว้บนฉลากหรือตามที่แพทย์และเภสัชกรแนะนำ ไม่ควรใช้ยามากเกินไปหากไม่จำเป็น - ออกกำลังกายเบา ๆ
การเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การเดิน การทำโยคะ หรือการออกกำลังกายแบบเบา ๆ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และช่วยบรรเทาอาการปวดได้ การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มการหลั่งเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยลดความเจ็บปวดได้ตามธรรมชาติ - พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับให้เพียงพอและเลือกท่านอนที่สบาย เช่น ท่านอนตะแคงหรือท่าชันเข่า อาจช่วยลดแรงกดดันที่ท้องน้อยและบรรเทาอาการปวด การนอนหลับที่เพียงพอยังช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและลดอาการอ่อนเพลียที่มักมาพร้อมกับช่วงมีประจำเดือน - ดื่มชาสมุนไพร
ชาสมุนไพรอย่างชาเปปเปอร์มินต์ ชาคาโมมายล์ หรือชาขิง ช่วยบรรเทาอาการปวดและช่วยลดการอักเสบ นอกจากนี้ การดื่มชาร้อนยังช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและรู้สึกอบอุ่น ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งในการบรรเทาอาการปวดได้ดี - รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวด เช่น อาหารมัน อาหารเค็ม และอาหารแปรรูป ควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ รวมถึงอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 เช่น ปลาแซลมอนหรือถั่วเหลือง ซึ่งช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้ความรุนแรงของอาการปวดเพิ่มขึ้น - นวดท้องเบา ๆ
การนวดเบา ๆ บริเวณท้องน้อยด้วยน้ำมันอุ่นหรือเจลที่มีส่วนผสมของลาเวนเดอร์หรือเปปเปอร์มินต์ สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย วิธีนี้ช่วยลดความเครียดและความตึงของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นจากการบีบตัวของมดลูก - สวมเสื้อผ้าที่สบาย
การสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมและไม่รัดแน่นจะช่วยลดความอึดอัดและไม่ทำให้เกิดแรงกดดันเพิ่มเติมบริเวณท้องน้อย เสื้อผ้าที่รัดรูปอาจทำให้อาการปวดและความแน่นท้องแย่ลง ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่เน้นความสบายและช่วยให้เคลื่อนไหวได้สะดวกในช่วงเวลานี้
การดูแลตัวเองในช่วงมีประจำเดือนอย่างถูกต้อง ไม่เพียงช่วยลดความไม่สบาย แต่ยังช่วยให้คุณสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติและรู้สึกดีขึ้น การปรับพฤติกรรมเพื่อสุขภาพในช่วงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญและมีผลต่อการบรรเทาอาการปวดอย่างมาก
อย่างไรก็ตามหากปวดประจำเดือนในระดับที่ไม่รุนแรงสามารถทำตามคำแนะนำข้างต้นได้ แต่ถ้าหากมีการปวดประจำเดือนรุนแรงรวมถึงมีประจำเดือนมากร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ และรับการรักษาอย่างเหมาะสมจะดีที่สุด
การดูแลตัวเองให้แข็งแรง และตรวจสุขภาพโรคเฉพาะทางด้านนารีเวชวิทยา อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง รวมถึงการสังเกตุรอบมีประจำเดือนของตัวเองว่ามาปกติสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติโดยไม่ต้องกังวลนั่นเอง