ความไม่พร้อมในการตั้งครรภ์ กรณีที่พบในวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 20 ปีนั้น ส่งผลกระทบทั้งต่อร่างกายและจิตใจของพ่อแม่และตัวลูกรวมไปถึงครอบครัว

      การให้ความรู้และแนะนำทางลือกการคุมกำเนิดที่เหมาะสมจึงเป็นวิธีที่จะช่วยลดปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมได้ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยเว้นระยะของการมีบุตร ส่งเสริมให้เกิดการวางแผนการมีบุตรในช่วงเวลาที่เหมาะสมตามความต้องการ ทั้งในด้านจำนวนบุตรต่อครอบครัวและศักยภาพในการเลี้ยงดู

      วิธีการป้องกันการตั้งครรภ์นั้นมีหลากหลายวิธีตาม สามารถเลือกให้เหมาะกับแต่ละบุคคลหรือแต่ละครอบครัวได้ ไม่ว่าจะเป็นการคุมกำเนิดแบบถาวร ได้แก่ การทำหมันในผู้หญิงหรือผู้ชาย การคุมกำเนิดแบบชั่วคราว ได้แก่ การรับประทานยาคุม การฉีดยาคุม การใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด การใส่ห่วงคุมกำเนิด และการฝังยาคุม

      การใช้ยาฝังคุมกำเนิดเป็นวิธีที่มีมานานแล้ว หากแต่ความเข้าใจในวิธีการ ประสิทธิภาพ รวมไปถึงผลข้างเคียงจากยาฝังคุมกำเนิดอาจยังไม่แพร่หลาย ทำให้หลายคนยังรู้สึกกลัวกับการฝังยาคุมกำเนิด ในความเป็นจริงนั้น การฝังยาคุมกำเนิดเป็นวิธีที่สะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง สามารถคุมกำเนิดได้นาน รวมถึงมีเหตุผลทางด้านข้อจำกัดน้อย ทำให้การฝังยาคุมเริ่มมีการพูดถึงและได้รับความสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน

      การฝังยาคุมกำเนิด หรือ “ยาคุมแบบฝัง” เป็นการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวกึ่งถาวร ที่มีกลไกในการคุมกำเนิดที่ออกฤทธิ์นาน และมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง ในแท่งยาคุมกำเนิดแบบฝังจะมี “ฮอร์โมนโปรเจสติน” ซึ่งมีฤทธิ์ในการคุมกำเนิดโดยการทำให้บริเวณปากมดลูกเหนียวข้น ส่งผลให้อสุจิเคลื่อนตัวได้ยาก รวมถึงป้องกันการตกไข่ และทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีสภาพที่ไม่เหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน

ยาคุมกำเนิดแบบฝังจะแบ่งประเภทตามแท่งหลอดยา คือ แบบ 1 แท่งสามารถคุมกำเนิดได้นานถึง 3 ปี และแบบ 2 แท่งสามารถคุมกำเนิดได้นานถึง 5 ปี

      วิธีการฝังยาคุมเป็นวิธีที่มีผลข้างเคียงน้อย แต่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยกว่าการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีบุตรอยู่แล้วและต้องการเว้นระยะการมีบุตร หรือต้องการเว้นการมีบุตรเพื่อวางแผนการมีบุตรในอนาคต

      การฝังยาคุมกำเนิดเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากแท่งยาคุมที่ใช้ฝังมีขนาดเล็ก (ประมาณขนาดก้านไม้ขีด) และอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝังใต้ผิวหนังที่แม่นยำขึ้น ทำให้ขั้นตอนการฝังยาคุมใช้เวลาไม่นานเพียง 5-10 นาที และยังช่วยลดปัญหาในเรื่องของการถอดยาคุมยากเนื่องจากฝังยาลึกเกินไป

การเตรียมตัว ขั้นตอนการฝัง การดูแลตนเองหลังการฝังยาคุม

      “การเตรียมตัวเบื้องต้นของการฝังยาคุม” ผู้ที่ต้องการฝังยาคุมต้องเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินภาวะสุขภาพเบื้องต้น พร้อมกับการตรวจการตั้งครรภ์ รวมถึงการรับทราบข้อมูลเบื้องต้นของการฝังยาคุม โดยผู้ที่จะสามารถฝังยาคุมกำเนิดได้นั้น จะต้องไม่เป็นผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน

      “เวลาที่เหมาะสมในการฝังยาคุม” ควรฝังยาภายใน 5 วันนับจากวันที่มีประจำเดือน หรือในระยะเวลาไม่เกิน 4-6 สัปดาห์หลังคลอดบุตร หรือหลังแท้งบุตรไม่เกิน 1 สัปดาห์

ในส่วนของ “ขั้นตอนการฝัง” แพทย์จะเริ่มจากการฉีดยาชาในบริเวณตำแหน่งที่จะฝังยาคุม โดยมักจะเลือกฝังยาคุมในแขนข้างที่ไม่ถนัด เพื่อป้องกันอาการระคายเคืองจากการฝังยาคุม ยาคุมจะถูกฝังที่บริเวณใต้ท้องแขนด้านใน ตำแหน่งที่สูงจากข้อพับหรือข้อศอกประมาณ 8-10 ซม.

จากนั้นจึงใช้อุปกรณ์ที่จะฝังยาแทงสอดเข้าที่ผิวหนังทำมุม 30 องศา แล้วจึงขยับกดเข้าผิวหนังในแนวราบ จากนั้นจึงกดเครื่องอุปกรณ์ในการฝังยาเข้าที่ใต้ผิวหนัง เมื่อฝังแท่งยาแล้วจึงนำเครื่องออก ผู้ฝังจะสามารถคลำสัมผัสแท่งยาที่แขนเพื่อตรวจสอบตำแหน่งของแท่งยาได้ จากนั้นจึงปิดพลาสเตอร์ปิดแผล และพันทับด้วยผ้าก๊อซอีกครั้ง

แท่งยาเมื่อถูกฝังเข้าใต้ผิวหนังแล้วจะทำหน้าที่ค่อยๆปล่อยตัวยาที่เท่ากันในทุกๆวันผ่านทางกระแสเลือด เพื่อเข้าไปยับยั้งการตกไข่  ทำให้มีฤทธิ์คุมกำเนิดนาน 3 หรือ 5 ปี ตามแต่ตัวยาที่เลือกใช้ฝัง

แผลที่เกิดจากการฝังจะมีขนาดประมาณ 2-3 มม. เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีการเย็บปิดปากแผล ทั้งนี้การฝังยาคุมกำเนิดนั้นจำเป็นต้องฝังและถอดยาฝังโดยแพทย์หรือพยาบาลที่ผ่านที่การอบรมแล้วเท่านั้นและไม่ควรถอดแท่งยาคุมด้วยตนเอง

อาการข้างเคียงจากการฝังยาคุม ที่พบได้บ่อยคือประจำเดือนมากะปริบกะปรอย แต่โดยส่วนใหญ่ประจำเดือนจะค่อยๆน้อยลงจนกระทั่งไม่มีประจำเดือนหลังจากการฝังยาคุมประมาณ 1 ปี ไม่เป็นภาวะที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

      นอกจากนี้อาการอื่นๆที่พบอาจได้ เช่น อาการปวดศรีษะ เป็นสิว น้ำหนักเพิ่มขึ้น เป็นต้น

      “การถอดยาฝังคุมกำเนิด” ควรมาพบแพทย์หรือพยาบาลที่ผ่านการฝึกอบรมเพื่อถอดแท่งยาหรือเปลี่ยนแท่งยาใหม่เมื่อครบกำหนด 3 ปี หรือ 5 ปี แพทย์จะตรวจเช็คภาวะสุขภาพของผู้ฝังยาคุมก่อนการฝังยาแท่งใหม่ ทั้งนี้หากพบอาการข้างเคียงที่ผิดปกติควรพบแพทย์เพื่อประเมินอาการและรักษาตามความเหมาะสม

      “การยุติการฝังยาคุม” สามารถทำได้หลังการนำแท่งยาคุมออกโดยแพทย์หรือพยาบาลที่ผ่านการฝึกอบรม ใช้เวลาเพียงไม่นานก็จะสามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้ตามปกติ ไม่ส่งผลต่อการมีบุตรยากในอนาคต

วิธีการดูแลตนเองหลังการฝังยาคุม

1.  ควรปิดพลาสเตอร์กันน้ำเป็นเวลา 7 วัน

2.  ควรระวังไม่ให้น้ำเข้าแผลและห้ามแผลโดนน้ำ

3.  ควรงดยกของหนักเป็นเวลา 7 วัน

4.  ยาคุมที่ฝังใต้ผิวหนังจะเริ่มออกฤทธิ์หลังการฝังไปแล้ว 24 ชั่วโมง เพื่อประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์หลังจากการฝังยาเป็นเวลา 7 วัน

5.  พบแพทย์เพื่อตรวจแผลฝังยาหลัง 7 วัน

6.  พบแพทย์ประจำปีเพื่อติดตามการใช้ยาปีละครั้ง

      ผลข้างเคียงหลังจากการฝังยาคุม

1.  ประจำเดือนมาไม่ปกติ อาจจะมามาก หรือมาน้อยลง หรือมากะปริบกะปรอย

2.  อาการระคายเคือง ปวดตึงบริเวณแผลที่ทำการฝังยา

3.  การฝังยาคุมเป็นการคุมกำเนิดด้วยการใช้ฮอร์โมน อาจจะส่งผลต่อการเจริญอาหาร ทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในบางราย

4.  อาจจะมีอารมณ์แปรปรวน

5.  อาจจะทำให้เป็นสิว ขนดก อารมณ์ทางเพศลดลง

6.  อาจจะมีอาการปวดศรีษะ คัดตึงเต้านม คลื่นไส้อาเจียน

      ข้อดีของการฝังยาคุมกำเนิด

1.  มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงมาก

2.  สามารถคุมกำเนิดได้นาน 3 หรือ 5 ปี

3.  ไม่ต้องกังวลกับการทานยาทุกวัน หรือการฉีดยาทุก 3 เดือน

4.  ไม่มีผลต่อการหลั่งน้ำนมของมารดาให้นมบุตร

5.  ภาวะเจริญพันธ์กลับเป็นปกติได้เร็วหลังจากการหยุดยา

6.  การฝังยาคุม หากคิดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนแล้ว พบว่าเทียบเท่ากับการกินยาคุมรายเดือน

7.  บางรายไม่มีประจำเดือนหลังจากการฝังยาไปแล้ว 1 ปี ทำให้ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้

8.  ปราศจากผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน

9.  มีความปลอดภัยกว่าการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นๆ รวมถึงมีความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดอุดตันน้อยกว่ายาคุมชนิดรายเดือนที่มีเอสโตรเจนเป็นส่วนประกอบ

      ข้อเสียของการฝังยาคุมกำเนิด

1.  ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ได้

2.  จำเป็นต้องฝังและถอดยาฝังโดยแพทย์หรือพยาบาลที่ได้รับการอบรมแล้วเท่านั้น

3.  มีผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย คือ อาการเลือดออกกะปริบกะปรอย

ผู้ที่เหมาสมกับการฝังยาคุม

1.  ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ต้องการคุมกำเนิดหรือเว้นระยะการมีบุตร ในระยะเวลา 3 ปี หรือ 5 ปี

2.  ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ไม่ต้องการทานยาทุกวัน หรือฉีดยาทุกๆ 3 เดือน

3.  ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ต้องการเลี่ยงฮอร์โมนเอสโตรเจน

      ผู้ที่ไม่เหมาะสมกับการฝังยาคุม

1.  ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์

2.  ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนโปรเจสติน

3.  ผู้ที่มีอาการแพ้ต่อส่วนประกอบในตัวยา

4.  ผู้ที่เป็นมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

5.  ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด

      ดังนั้นก่อนเข้ารับบริการฝังยาคุมควรศึกษาข้อมูลและเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินภาวะสุขภาพ รับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อประกอบการพิจารณา รวมถึงการตรวจการตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดด้วยการใช้ยาฝังคุมกำเนิด

      ฝังยาคุมได้ที่ไหนบ้าง

การฝังยาคุมสามารถทำได้ทั้งในโรงพยาบาลของรัฐ คลินิก และโรงพยาบาลเอกชนที่ให้บริการเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว

      สำหรับสิทธิ์ฝังยาคุมฟรีในผู้หญิงที่มีอายุ 10-20 ปี สามารถตรวจสอบสิทธิ์บริการได้ในแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง”

เรื่องน่ารู้ของการฝังยาคุม

1.  มีบริการการฝังยาคุมฟรี

บางโรงพยาบาลของรัฐมีบริการฝังยาคุมฟรี ให้กับสตรีวัยเจริญพันธุ์ตั้งแต่ 10-20 ปี เพียงแต่ต้องทำการนัดคิวไว้ล่วงหน้า โดยสามารถตรวจสอบสถานพยาบาลที่ใช้สิทธิได้ผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง”

2.  ทำไมการฝังยาคุมถึงต้องฝังที่แขน

แพทย์จะทำการฝังยาคุมในแขนข้างที่ไม่ถนัดเพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกระคายเคืองกับแท่งยาที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนัง และที่แพทย์ต้องฝังยาคุมที่แขนแทนที่จะเป็นตำแหน่งอื่นเพราะการฝังยาที่แขนเป็นตำแหน่งที่ง่ายและสะดวก ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันน้อยที่สุด

ทำไมคนสมัยก่อนถึงไม่นิยมฝังยาคุมกำเนิด

ประการแรก เพราะ “คนกลัวเจ็บ” และมักคิดว่าการฝังยาจะเจ็บ จึงไม่เป็นที่นิยม

ประการที่สอง เพราะ “ขาดข้อมูลเกี่ยวกับการฝังยาคุม” จึงทำให้เกิดความไม่แน่ใจและกลัวในการฝังยาคุม

ประการที่สาม เพราะเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ผลข้างเคียง” ของยาฝังคุมกำเนิด ทั้งๆที่การฝังยาคุมเป็นวิธีที่มีผลข้างเคียงน้อยมากเมื่อเทียบกับการกินยาคุมหรือการฉีดยาคุม

ใครที่สามารถฝังยาคุมได้

ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทุกคนที่เริ่มมีประจำเดือนจนถึงวัยหมดประจำเดือน รวมถึงผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดเพื่อเว้นการมีบุตรสามารถเข้ารับบริการการฝังยาคุมได้

      การฝังยาคุมเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงน้อยมาก มีโอกาสติดเชื้อต่ำ เนื่องจากกระบวนการฝังยาและการถอดยาจำเป็นต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือพยาบาลที่ผ่านการอบรมแล้วเท่านั้น โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดจึงพบได้น้อย นอกจากนี้ผู้ฝังยายังสามารถตรวจเช็คแท่งยาด้วยตนเองได้โดยการคลำที่แขน หากแท่งยามีความผิดปกติหรือตำแหน่งคลาดเคลื่อน ควรรีบมาพบแพทย์ทันที